การพักผ่อนนอนหลับที่เหมาะสม


             

     คนทุกคนต้องการการพักผ่อนนอนหลับ แต่นานแค่ไหนจึงจะพอดี  พ่อแม่มือใหม่อาจสงสัยว่าจะให้เด็กทารกนอนหลับนานแค่ไหนดี  กังวลว่าลูกวัยรุ่นอาจนอนไม่เพียงพอ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถหยุดสัปหงกในระหว่างวันได้  บทความนี้จะกล่าวถึงความต้องการนอนหลับในช่วงอายุต่าง ๆ ของชีวิตเรา

การนอนหลับที่ดี
             ระยะเวลาและชนิดของการนอนหลับที่เราต้องการเปลี่ยนไปกับอายุ  อย่างไรก็ตาม  อายุมิใช่เพียงปัจจัยเดียวที่เป็นตัวตัดสิน  แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน  บางคนมากและบางคนน้อยกว่าความต้องการของคนโดยเฉลี่ย  ระยะเวลาการนอนหลับอาจมีความสำคัญน้อยกว่าคุณภาพของการหลับ  ความต้องการในการนอนหลับแต่ละวันก็อาจเปลี่ยนไปวันต่อวันขึ้นกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
ข้อมูลที่เรากำลังนำเสนอ คือ การเปลี่ยนแปลงของความต้องการนอนตลอดห้วงอายุขัยของชีวิต  อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังรู้สึกสดชื่นและตื่นตัวในวันรุ่งขึ้น นั่นบ่งบอกว่า ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้ว


วัยทารก
             ทารกมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ต้องการ 17 ชั่วโมงของการนอนหลับแต่ละวันเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ และช่วยให้พวกเขามีเวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่  ๆ    เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ นาฬิกาชีวิตของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่  จะใช้เวลา 6 เดือนแรกในการปรับตัวให้นอนหลับกลางคืนมากกว่ากลางวัน มันจะเป็นการดีที่จะกำหนดกิจวัตรประจำให้กับทารก เมื่อเขาอายุ 6 ถึง 8 สัปดาห์ เพื่อช่วยเตรียมให้เขาหลับได้ดี    ทารก เช่นเดียวกับผู้ใหญ่  มีการสลับแบบการนอนระหว่างการนอนหลับไม่สนิท  และการนอนหลับสนิท  อย่างไรก็ตามทารกมีสัดส่วนของเวลาที่นอนหลับไม่สนิทสูงกว่าการนอนหลับสนิท ดังนั้นจึงตื่นง่ายกว่าผู้ใหญ่ และมีการสลับแบบการนอนสองแบบนี้ถี่กว่าผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้มีการตื่นตอนกลางคืนบ่อย  อย่างไรก็ตาม ทารกมักจะหลับต่อด้วยตนเองภายในไม่กี่นาทีหลังตื่นตอนกลางคืน

วัยเด็กหัดเดิน
              เด็กวัยหัดเดิน อยู่ไม่ค่อยนิ่ง ดังนั้นต้องการการพักผ่อนมาก เด็กอายุหนึ่งถึงสองปี ต้องการนอนหลับระหว่าง 10 และ 13 ชั่วโมงต่อวัน  พ่อแม่บางคนชอบที่จะให้ลูกตัวเองนอนหลับยาวไปเลยในตอนกลางคืน ขณะที่บางคน ชอบให้เด็กหลับสั้น ๆในเวลากลางวันและนอนหลับกลางคืนสั้นลงกว่าเดิม พ่อแม่ของเด็กวัยนี้  คงต้องหารูปแบบการนอนที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเองและลูกแล้วทำให้มันกลายเป็นรูปแบบกิจวัตรประจำสำหรับครอบครัว
 
 
วัยเด็กโต
             เด็กโต ก็อยู่ไม่ค่อยนิ่ง  มีการเรียนรู้ และการพัฒนา ในอัตราที่สูงมาก  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการการพักผ่อนมากมาย สำหรับวัยนี้ ความต้องการในการนอนอาจแตกต่างกันไป โดยทั่วไป ต้องการประมาณ  90-10 ชั่วโมง ของการนอนหลับตอนคืน  และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อโตขึ้น  เช่นเดียวกับวัยอื่น ๆ เราไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมลงไปตายตัว แต่ในฐานะพ่อแม่ เราพิจารณาได้ว่าลูกนอนหลับเพียงพอไหม และเขาควรต้องการนอนนานเท่าใด

วัยรุ่น
                วัยรุ่น โดยทั่วไปต้องการนอนประมาณ 9 ชั่วโมงในแต่ละคืน - แต่ พวกเขามักจะนอนไม่เพียงพอ  มันไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับวัยรุ่นที่ต้องการที่จะนอนดึกแล้วบ่นเกี่ยวกับการตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน  อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลทางชีววิทยาที่อาจอธิบายเรื่องนี้  รูปแบบการนอนหลับตามธรรมชาติเปลี่ยนไปในวัยรุ่น ฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเชื่อว่า ช่วยให้เกิดความง่วง จะถูกสร้างขึ้นมาช้ากว่าที่เคยในตอนเย็นสำหรับวัยรุ่น ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนดึกมาก ๆ  เรียกว่า โรคนาฬิกาชีวภาพเดินช้า นอกจากนั้น หากวัยรุ่นใช้อุปกรณ์บางอย่างก่อนนอน เช่น คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ การสัมผัสกับแสงและการกระตุ้นต่อจิตใจทำให้ชะลอความง่วง จะดีที่สุดคือไม่ให้มี เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ โทรทัศน์ ในห้องนอนของวัยรุ่น การพยายามให้วัยรุ่นนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันจะช่วยให้วัยรุ่นได้รับการนอนหลับที่พวกเขาต้องการ

วัยผู้ใหญ่
             โดยทั่วไปผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับ 7 – 8 ชั่วโมง แต่บางคน สามารถทำงานได้หลังจากนอนหลับเล็กน้อย  เราสามารถอดนอนได้เป็นครั้งคราว ซึ่งทำให้เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป  การขาดการนอนหลับอย่างต่อเนื่อง ( นอนไม่หลับ ) อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบางกิจกรรม เช่น การขับรถอย่างปลอดภัย   ควรพบแพทย์หากมีปัญหาการนอนหลับและส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในระหว่างวัน  แพทย์อาจจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อให้นอนหลับได้ดีขึ้น หรือส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญ

ผู้สูงอายุ
             อายุที่มากขึ้นไม่ทำให้ความต้องการนอนหลับลดลง ผู้สูงอายุยังคงต้องการนอนหลับแปดชั่วโมง  อย่างไรก็ตาม การหลับสนิทจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ตื่นง่ายขึ้นหลังจากนอนไปได้3 – 4 ชั่วโมง  และหลับต่อได้ยากขึ้น
ปัญหาสุขภาพ อื่น ๆ เช่น ต่อมลูกหมาก โรคข้อเสื่อม ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของการนอนหลับ  หากนอนหลับไม่เพียงพอในเวลากลางคืนก็จะรู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน นอกจากนั้นผู้สูงอายุมักจะหลับเร็วขึ้นและตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม   การปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนหลับ เช่น หลังการเดินทางโดยเครื่องบิน ก็รู้สึกจะยากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น





ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่







             

             นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงล้ำหน้าไปหลายด้าน มีการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามามากเกินไป จนลืมไปว่าวัฒนธรรมของตัวเองเป็นอย่างไร ลูกหลานเคยรู้หรือเปล่าว่าขนบธรรมเนียม ประเพณีของตนเป็นอย่างไร แล้วผู้ใหญ่ได้เคยบอกเล่าให้ฟังบ้างไหม ค่านิยมของสังคมไทยในอดีตส่วนใหญ่ยึดมั่นปฏิบัติตามบรรพบุรุษ พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เชื่อกฎแห่งกรรม เคารพผู้อาวุโส มีชีวิตความเป็นอยู่กับธรรมชาติ ยิ่งพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นเท่าไร ความเจริญของวัตถุมีมากเท่าไร แต่ถ้าสภาพจิตใจของมนุษย์ยังเสื่อมลงอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ทำให้สังคมไทยของเราพัฒนาไปในทางที่ดีได้ ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุอย่างรวดเร็ว ค่านิยมของสังคมไทยแสดงถึงความเสื่อมของจิตใจอย่างเห็นได้ชัด                                                                                                                                                                         

               โลกยุคนี้คือโลกยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) หรือโลกไร้พรมแดน ทำให้กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น เสมือน ว่าน้ำ ป่าที่ล้นเอ่อยามที่ฝนตกชุกจนฉ่ำผืนดิน ยากที่จะต้านกระแสนั้นไว้ได้ เพราะเป็นภัยที่เกิดจากธรรมชาติ หากมองมาทางด้านวัฒนธรรมอันดีงามของไทยที่มีมาแต่โบราณนั้น ผลกระทบของกระแสวัฒนธรรมตะวันตกมีผลต่อการพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันเป็นอันมาก  วัฒนธรรมเหมายถึงเครื่องหมายของความเจริญ วัฒนธรรมมีลักษะของการไหลบ่าเช่นเดียวกับน้ำที่พยายามปรับความสมดุลให้อยู่ในระนาบเดียวกัน  โดยพื้นฐานของมนุษย์ที่รักความสะดวกสบาย
เช่น การเดินทางที่รวดเร็ว  การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว เป็นต้นฯ  
แต่ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น เปรียบเสมือนมีดที่มี  2 คม มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์ อยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะใช้มันอย่างไร และเข้าใจถึงคุณค่าแท้ของสิ่งต่าง ๆว่ามีไว้เพื่ออะไร เป็นประโยชน์อย่างไร
           วัฒนธรรม มี 2 ลักษณะ คือวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ และวัฒนธรรมที่มิใช่วัตถุ
วัฒนธรรม ที่เป็นวัตถุ  เช่น อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  ยานพาหนะ  เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ  เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น  การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนหนึ่งเพื่อสนองตอบความต้องการของมนุษย์  และการค้าขาย   ในส่วนนี้จะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการบริโภค และค่านิยม 
ส่วน วัฒนธรรมที่มิใช่วัตถุ  เป็นส่วนที่เกี่ยวกับความรู้ ปรัชญา  และจิตวิทยา  ซึ่งส่วนนี้ดูเหมือนว่าทางตะวันออก จะเป็นภูมิภาคที่มีความเจริญมาก่อนอย่างช้านาน จึงเป็นส่วนที่ค่อนข้างจะนิ่งหรือไม่มีการถ่ายเทจากทางซีกโลกตะวันตกมากนัก ยกเว้นค่านิยมที่จะผันแปรไปตามอิทธิพลของวัฒนธรรมด้านวัตถุ   เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมาก  ต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนทางซีกโลกตะวันออกคือในส่วนของวัฒนธรรมทางด้านวัตถุ หรือเทคโนโลยี  ซึ่งก็จะแอบแฝงความไม่ดีเข้ามา  อย่างที่บอกว่าเปรียบเสมือนมีดที่มี 2 คม หรือเหรียญที่มี 2 ด้าน ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อว่า สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ  มีรากเง้าของวัฒนธรรมมาจากศาสนาพุทธ เป็นสังคมที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่โดดเด่น และแสดงออกถึงความเจริญทางด้านจิตใจ  เช่น  มีเมตตากรุณา  ให้อภัย  เอื้อเฟื้อ  ช่วยเหลือ  การเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าโดยการนับญาติเป็นลุง ป้า  น้า อา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  เป็นต้นฯ   ทำให้อยู่กันอย่างพี่น้อง  มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน  ดังคำพระที่ว่ามีเพื่อนบ้านที่ดีดีกว่ามีรั้วบ้านที่ล้อมหนาม ไม่ต้องสร้างกำแพงเพื่อป้องกันโจร ขโมย  แต่ล้อมรั้วด้วยคนหมายถึงเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจคอยดูแลซึ่งกันและกัน  เป็นหูเป็นตาให้กัน ก็ เท่ากับว่าบ้านถึงแม้ไม่มีรั้วก็เหมือนมีรั้ว  หรือประเพณีลงแขก  ที่ชาวบ้านเอาแรงกัน  คือต่างคนต่างช่วยกัน  บ้านนี้ดำนา  เกี่ยวข้าว ปลูกบ้านใหม่ก็ไปช่วยกัน  พอถึงทีบ้านเราทุกคนก็มาช่วยกัน  จึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยมีวัฒนธรรมที่ดีงามมาแต่โบราณ เมื่อกระแสวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางด้านวัตถุหรือเทคโนโลยี เข้ามาสู่ประเทศไทย  หรือประเทศอื่น ๆ 
               ในยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization)   หรือโลกไร้พรมแดน ทำให้กระแสวัฒนธรรมตะวันตกไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้นนั้น ก็ คือโลกที่ไม่อาจต้านทานกระแสวัฒนธรรมจากต่างชาติได้  สิ่งที่เป็นช่องทาง หรือเป็นลำธารให้กระแสวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก็คือความเจริญทางด้านการสื่อสารนั่นเอง  บางทีเราก็เรียกโลกยุคนี้ว่า เป็นยุดของการสื่อสาร
การสื่อสารนั้นโดยนัยสำคัญแล้วหมายถึงการสื่อสิ่งที่เป็นสาระ แต่เราไม่อาจกลั่นกรองเอาเฉพาะสาระตามความหมายนั้นได้ เพราะสิ่งที่แอบแฝงเข้ามาพร้อมกับสาระนั้นคือการโฆษณามอมเมาในเชิงธุรกิจ  พยายามสร้างกระแสความนิยมในสินค้าด้วยการโฆษนาชวนเชื่อ จนกลายเป็นความนิยมเช่น ธุรกิจการโฆษณาขายอาหารเสริมบ้าง กาแฟที่ดื่มแล้วทำให้เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายบ้างหรือธาตุอาหารที่สกัดจากพืชสมุนไพรต่าง ๆ นานา ที่ทานแล้วหรือดื่มแล้วทำให้ร่างกายปลอดจากสารพิษต่าง ๆ บ้าง เป็นต้น ฯ  
ตลอด ถึงครีมต่าง ๆ ที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream) น้ำหอมดัง ๆ จากยุโรปหรือฝรั่งเศส (เศษฝรั่ง) แฟชั่นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายต่างๆ ทำให้คนในสังคมมีค่านิยมรักสวยรักงาม มากกว่าที่จะดูกันที่คุณสมบัติภายใน ความดี กิริยามารยาท หน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ   
ด้วยกระแสบริโภคนิยม และการวัดค่าของคนจากวัตถุของสังคมไทยในยุคปัจจุบันนี้ คงไม่แปลกที่สินค้ามียี่ห้อ ราคาแพง และได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ ที่รู้จักกันในนามสินค้า แบรนด์เนม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรืออุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างโทรศัพท์มือถือนั้น จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของใครหลายๆ คน มากกว่าการเป็นสิ่งของเครื่องใช้ หากยังเป็นเครื่องวัดความมั่งมี วัดความดีงาม ความน่าเคารพ สรรเสริญของคนในสังคม สิ่งนี้ถือเป็นวิกฤติทางจิตใจ ที่ต้องเร่งระงับและให้การแก้ไขโดยด่วน  นั่นเพราะทุกวันนี้ คนในสังคมต่างยึดติดอยู่กับค่านิยมทางวัตถุ มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่ คนดีไม่มีบทบาท ขาดโอกาสทำประโยชน์เพื่อสังคม เลือกมองคนจากวัตถุมากกว่าจิตใจ จึงเป็นเหตุให้หลายๆ คนที่ขาดสติความยั้งคิด เลือกเดินตามทางผิด ดิ้นรนแสวงหาข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง เพียงเพื่อความภาคภูมิใจในการได้ครอบครอง ได้โอ้อวด โดยไม่เลือกวิธีการในการแสวงหาสิ่งเหล่านั้น ดังที่เป็นข่าวออกสื่อกันได้แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาสาวขายบริการทางเพศ การฉกชิงวิ่งราวจนบานปลายถึงขั้นการปล้นธนาคาร ส่วนในครอบครัวที่มีฐานะ การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับข้าวของที่เรียกได้ว่าไม่ได้มีความจำเป็นต่อปัจจัยในการดำรงชีวิตเหล่านี้ จะยิ่งพอกพูนนิสัยแห่งความฟุ่มเฟือยใช้เงินแลกความสุข จากการได้เดินชอปปิงและมีของใช้ราคาแพงไว้โอ้อวดซึ่งกันและกัน ใครที่ไม่มีเมื่อเห็นคนอื่นมี แล้วหลงคิดไปว่าการมีบ้างถือเป็นสิ่งที่ดี ก็จะเป็นทุกข์ เป็นร้อน และเข้าสู่วังวนแห่งการกระทำความผิดเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่เรียกกันว่า แบรนด์เนม ที่สมมติกันไปว่าเป็นของมีค่า เป็นเครื่องตีตราความดีงามของคนในสังคมได้
วัตถุนิยม เป็นค่านิยมที่มีมานานดูเหมือนจะอยู่คู่สังคมไทยทีเดียว เราให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าทางด้านจิตใจ มีบทความของบุคคลหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถูกเพื่อนคนหนึ่งที่ลาออกจากราชกาลมาทำงานระบบขายตรง หลอกให้เป็นสมาชิกด้วยวิธีการต่าง ๆ เสียทั้งเวลาและเงินทอง ซึ่งยังไม่แย่เท่ากับเสียความรู้สึก คนที่ถูกหลอกนั้นอยู่ในระหว่างตกงาน ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เห็นเพื่อนลาออกจากราชการคิดว่าคงลำบาก ก็อยากช่วยอยู่แล้ว แต่เพื่อนไม่มาขอให้ช่วยดี ๆ กลับหลอกลวงด้วยกลวิธีต่าง ๆ คนที่ถูกหลอกก็ไว้ใจ คิดว่าเป็นเพื่อนจึงหลงเชื่อ กว่าจะมารู้ว่าเพื่อนที่มาหลอก ไม่ได้ลำบากยากเข็ญอะไร แต่มีเป้าหมายจะเอาเงินไปซื้อรถเบนซ์ ขณะที่คนถูกหลอกยังขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ และตกงาน แต่จิตใจที่อยากช่วยเหลือเพื่อน เพราะได้ข่าวว่าเพื่อนผู้หลอกลวงนั้น เคยป่วยเป็นมะเร็งระยะแรก แต่รักษาหายแล้ว เคยเห็นผู้ป่วยเป็นมะเร็งมากมาย ที่พอชีวิตใกล้ความตายกลับละ ลด เลิก กิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลงได้มาก ปลงอะไรได้หลายอย่าง ใช้ชีวิตสมถะมากขึ้น แต่คนเคยป่วยเป็นมะเร็งคนนี้ กินอาหารชนิดท้าทายมะเร็ง และมีเป้าหมายในชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานทางวัตถุ โดยไม่ใส่ใจความเจริญงอกงามในจิตใจ เมื่อ พูดถึงรถยนต์ก็อยากเล่าประสบการณ์ที่ขับรถยุโรปคันใหญ่ เวลาไปงานโรงแรม เจ้าหน้าที่โรงแรมจะวิ่งมาโบกรถให้ไปจอดทางขึ้น-ลงของโรงแรมซึ่งสะดวกมาก แต่พอลงจากรถต้องไม่ลืมทิปอย่างต่ำก็ 50 บาท ถ้าวันไหนขับรถญี่ปุ่นคันเล็กไป เพราะคล่องตัวและสะดวก จะถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ไล่ไปจอดใต้ถุนโรงแรม ซึ่งถ้าวันไหนโรงแรมมีงานใหญ่ ก็ต้องวนหาที่จอดรถจนเหนื่อย ตอนขับรถเข้า-ออกหมู่บ้านหรือที่ทำงานก็เช่นกัน วันไหนขับรถยุโรปไป จะได้รับการทำความเคารพจาก  รปภ. อย่างสวยงาม ถ้าวันไหนขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ ไป จะไม่มี รปภ. คนไหนทำความเคารพ แปลว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ทำความเคารพราคาของรถยนต์ มิใช่เจ้าของรถยนต์ผู้เป็นผู้จ่ายค่าจ้าง รปภ.   พวกวัตถุนิยมจึงมักตัดสินคนที่เปลือกนอก มีบ่อยครั้งที่คนไม่ได้สนใจเปลือก ต้องถูกพวกนิยมเปลือกดูแคลนและทำกิริยาวาจาหยาบใส่ อย่างที่คุณกนกพรรณ เหตระกูล เจ้าของกิจการนมเปรี้ยวยี่ห้อดังเคยเจอ โดยปกติคุณกนกพรรณ เธอใส่เครื่องแบบสาวยาคูลท์เป็นประจำจนชิน ลืมไปว่าคนบางคนเขาให้ราคากันที่ เปลือก จนวันหนึ่งเธอสวมเครื่องแบบนั้นเข้าห้างสรรพสินค้าดังกลางเมืองหลวง ตั้งใจจะไปซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อโปรดที่เคยใช้ประจำ จึงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ แต่ไม่พบพนักงานขายที่เคยรู้จัก เอ่ยปากถามพนักงานขายที่ประจำการแทนว่า "น้องค่ะ น้องอีกคนไม่มาหรือค่ะ" คุณน้องไม่ตอบ แต่กวาดสายตาไปที่คนถามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วถามกลับว่า "มีธุระอะไรกับเขาล่ะ" ได้ยินน้ำเสียง ผสมกับสายตาขนาดนั้น คุณกนกพรรณเธอก็เลยหันกลับ คงคิดได้ว่า ไม่ควรเอาทองไปลู่กระเบื้อง ให้เสียราคาทอง
           นอกจากตัดสินคนที่เปลือกนอกแล้วยังมักตื่นคนรวย เรียกว่าใครมีเงินนับน้อง ใครมีทองนับพี่ เอาอกเอาใจ รับใช้อย่างดี โดยไม่คำนึงว่าเงินทองที่เข้ามีนั้น ได้มาโดยสุจริตหรือไม่ เห็นดีเห็นงามไปในทุกเรื่อง แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม แต่อำนาจเงินบังตา ปิดปาก ยกยอปอปั้น สรรเสริญ เจริญพร จนคนที่มีเงินลอยโลดเตลิดหลง คิดว่าอำนาจเงินนั้นซื้อได้ทุกอย่างทุกคน เพราะตัวอย่างใกล้ตัวยืนยันให้คิดได้อย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าเงินไม่สามารถซื้ออะไรทุกอย่าง ก็คงต้องหมดตัวเสียก่อน จึงจะเรียนรู้ว่า ความจงรักภักดี นั้นซื้อไม่ได้   พวกฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย นิยมสินค้า Brand Name อาจจะเป็นเพราะวัตถุนิยม จึงมีค่านิยมว่าต้องใช้ของมียี่ห้อหรือมีตราดังระดับโลก จึงจะโก้เก๋มีระดับเข้าสังคมได้ เนคไทผู้ชายผืนเล็กนิดเดียวราคาเส้นละ 12,000 บาท เข็มขัดตราสัญลักษณ์สินค้านั้น ราคาเส้นละ18,500 บาท ผู้หญิงไม่ยอมน้อยหน้ากระเป๋าผ้าใบฝรั่งเศส ราคาใบละ 37,900 บาท รองเท้าราคาคู่ละ 24,800 บาท นี่ไม่ใช่ราคาสูงสุดแต่เป็นราคาระดับกลาง ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าชาวนาต้องทำนากี่ไร่ ใช้เวลากี่เดือน จึงจะแลกกระเป๋าได้สักใบ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราเป็นประเทศยากจน ไม่ได้ค้าน้ำมันได้เหมือนบ้านเมืองอื่น แต่คนของบ้านเราใช้สินค้าราคาแพงเกินตัวและฐานะ สร้างค่านิยมที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ วัยรุ่นบ้านเรานิยมลัทธิเอาอย่าง ชอบเลียนแบบอยู่แล้ว ในครอบครัวฐานะดี พ่อแม่มีเงินให้ได้ก็ยังพอทำเนา แต่ในรายที่ครอบครัวเป็นคนชั้นกลาง หรือมีฐานะยากจน พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อของมาให้ แต่ลูกอยากเทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง ก็ต้องหาเงินเอกด้วยวิธีขายตัว ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และพรหมจารีเป็นสิ่งไร้ค่า ถ้าเทียบกับสินค้าราคาแพงเหล่านั้น บางคนถึงไม่ซื้อก็ไปเช่าสินค้าเหล่านั้นมาใช้เป็นรายชั่วโมง

               ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งจะมีการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ในเรื่องของข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นหรือซื้อของราคาแพง เช่น มีของใช้ที่มียี่ห้อราคาแพงๆ มีเครื่องประดับในตัวมากมาย แล้วในที่สุดก็จะเบื่อง่าย ไม่รักษาข้าวของ ไม่ได้เห็นคุณค่าของของที่ซื้อมา ไม่ดูแลทะนุถนอมเมื่อของเสียหรือหายก็ซื้อใหม่และไม่สามารถที่จะมีความยั้ง คิดหรือจัดการกับเรื่องการใช้เงินได้ ในเด็กเล็กอาจจะเห็นลักษณะอย่างนี้บ้าง แต่ไม่มากนักเนื่องจากว่าสิ่งที่เด็กสนใจราคายังไม่สูงมาก แต่ในเด็กวัยรุ่นของที่เด็กชอบหรือที่เด็กนิยมมักจะมีราคาแพงมาก   การที่เด็กมีค่านิยมเช่นนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวเด็กเองและปัญหาทางสังคมตามมา ปัญหาที่ทำให้เด็กมีค่านิยมทางวัตถุนั้น พบว่าส่วนหนึ่งเห็นแบบอย่างมาจากพ่อและแม่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ฐานะดี พ่อแม่มักจะเป็นคนที่ติดยี่ห้อหรือนิยมในสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ และแสดงลักษณะอย่างนี้ให้เด็กได้เห็นได้เลียนแบบ   ในจุดนี้พ่อแม่ควรจะต้องทบทวนตัวเองว่าได้เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการ ใช้จ่ายเพียงไรให้กับเด็กๆ แม้พ่อแม่จะอยู่ในฐานะซื้อของราคาแพงได้ แต่ความสามารถยับยั้งชั่งใจในเด็กยังมีน้อย เด็กจะใช้เงินมากเกินกว่าที่พ่อแม่ให้ อาจส่งผลให้เด็กต้องหาทางหาเงินด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง   ประการที่สองพ่อแม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเราให้สิ่งของต่างๆ กับลูกมากจนเกินจำเป็น บางครั้งเป็นไปตามค่านิยมทางสังคม เช่น อุปกรณ์ในการสื่อสาร ความจริงแล้วในเด็กในวัยขนาดนี้อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นจริงจังที่จะต้องมี อุปกรณ์ติดตามตัวมากขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้อยหน้าคนอื่นหรือตามกระแสที่ใครๆ ก็มีกัน ก็หาให้ลูกมากจนกระทั่งลูกไม่รู้คุณค่าของสิ่งของที่ได้มา เพราะถ้าอยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้นโดยง่าย เพราะฉะนั้นค่านิยมเหล่านี้จะปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็ก  ในเรื่องของการใช้จ่ายเงินควรฝึกให้เด็กได้รู้ว่าถ้าอยากได้เงินพิเศษเขาก็ จะต้องทำงานหรือเขาจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ต้องใช้ความมุมานะและความพยายาม มิใช่ได้มาโดยง่าย และควรปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในเรื่องการเลือกซื้อสิ่งของโดยเน้นที่ คุณภาพของสิ่งของมากกว่าเป็นการซื้อตามใจตัวเอง หรือซื้อตามความนิยม นอกจากนี้พ่อแม่ต้องมีความสามารถในการที่จะขัดใจลูกได้อย่างเหมาะสม ไม่ตามใจลูกในทุกเรื่อง   การฝึกปฏิเสธลูกตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กให้เด็กได้เรียนรู้ว่าหากเขาต้องการ อะไรที่ไม่สมควรหรือไม่ควรจะได้ก็จะได้รับการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง แต่มีเหตุผล เช่น แสดงอาการเข้าใจหรือเห็นใจว่าเขาต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลว่าพ่อแม่ไม่สามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กตาม ใจชอบได้ตลอดเวลา   ประการสำคัญควรปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้คุณค่าทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้าน วัตถุ ครอบครัวควรจะเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้กับเด็ก พบว่าเด็กที่ต้องการใช้เงินส่วนหนึ่งแล้วเป็นเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีความกลัวว่าจะน้อยหน้าเพื่อนหรือด้อยค่ากว่าคนอื่นจึงต้องมีเครื่องประดับ ที่มีราคาแพง ความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กนั้นเกิดจากการที่พ่อแม่สามารถยอมรับอย่างที่ ลูกเป็น เห็นคุณค่าและความสามารถของลูก ไม่เปรียบเทียบตัวเด็กกับคนอื่นๆ ให้เขารู้สึกด้อยค่าในตัวเอง ในขณะเดียวกันเมื่อเขามีศักยภาพหรือความสามารถบางอย่าง พ่อแม่ก็ให้การยอมรับ บางคนอาจจะไม่มีความถนัดหรือความสามารถทางการเรียน แต่เขาอาจจะมีความถนัดหรือความสามารถที่เป็นข้อดีของตัวเด็กเองในด้านอื่นๆ  ถ้าหากคุณให้คุณค่ากับสิ่งที่ลูกมีและสิ่งที่ลูกเป็น เขาก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวของเขาเองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องประดับเหล่านี้ ความภาคภูมิใจในตัวเองนั้นยังเกิดในครอบครัวที่มีความอบอุ่น มีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีคนที่รักและเข้าใจเด็ก นอกจากความภาคภูมิใจในตัวเองจะช่วยเด็กในเรื่องของค่านิยมในเชิงวัตถุนิยม แล้วก็ยังจะช่วยทำให้เด็กเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงาม มีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อผู้อื่นก็จะทำให้เขาสามารถมีเพื่อนหรือ อยู่ในสังคมที่เป็นกลุ่มเพื่อนได้ ไม่ต้องใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเพื่อให้เพื่อนยอมรับ
ประการสุดท้ายสอนให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัว ไม่ใช่มีความรู้สึกว่าครอบครัวตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และให้เด็กรู้ว่าไม่ว่าฐานะครอบครัวจะเป็นอย่างไรแต่ทุกคนในครอบครัวก็รัก เด็ก และถ้าเด็กมีเหตุผลในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทอง เป็นการช่วยเหลือครอบครัวอีกทางหนึ่ง ให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกอายหรือรู้สึกด้อยกับเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ
การได้รับการฝึกฝนในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทองอย่างเหมาะสมกับฐานะครอบครัว จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กจัดการรับผิดชอบกับเรื่องของตัวเอง ดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินในแต่ละช่วงของตัวเองได้เป็นอย่างดี   เด็กๆ ควรมีโอกาสใช้เงินให้เหมาะกับวัยของเขา เมื่อถึงวัยหนึ่ง เขาควรจะถือเงินด้วยตัวของเขาเอง อาจจะใช้ในการซื้อของบางอย่างให้กับตัวเองได้บ้าง หรืออาจจะเป็นการใช้จ่ายประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของการไปโรงเรียน การคำนวณค่าใช้จ่ายของลูกก็เป็นเรื่องสำคัญ การให้เงินก็ไม่ควรจะมากหรือน้อยจนเกินไป ถ้าน้อยจนเกินไปจนเด็กไม่สามารถที่จะใช้จ่ายได้เพียงพอก็เป็นความเครียดกับ เด็กเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันถ้าให้เงินมากจนเกินไป โดยไม่ได้ฝึกค่านิยมเรื่องการอดออมเงิน การเก็บสะสมเงิน เด็กก็อาจจะใช้เงินไปอย่างไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม
การฝึกใช้เงินควรจะจำแนกให้เด็กเห็นว่ามีบางอย่างเป็นความจำเป็นที่จะต้อง ใช้ในแต่ละวัน เช่นค่าอาหาร ค่าเดินทางไปโรงเรียน เขาอาจจะมีเงินเหลือเก็บอีกเล็กน้อย อดออมเอาไว้ใช้ในเวลาที่เขาต้องการ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเด็กโตขึ้นมีอายุมากพอที่จะเลือกซื้อข้าวของบางอย่าง ของตัวเองได้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าหรือของใช้ก็อาจจะให้เงินรวมไปในค่าใช้จ่ายในแต่ ละอาทิตย์หรือในแต่ละเดือน ที่มากพอที่เด็กจะเก็บสะสมในการซื้อของบางอย่างของตัวเองด้วย
การฝึกเรื่องการใช้เงินให้มีความรับผิดชอบต่อจำนวนเงินที่ตัวเองได้รับจะ เกิดขึ้นได้ดี ถ้าหากฝึกในเรื่องความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆ ไปด้วย เช่น การดูแลตัวเอง การรับผิดชอบกับงาน หรือมีความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆ  ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงร่วมกันในเรื่องค่านิยมแบบวัตถุนิยม คือ กระแสและสื่อในสังคมมีผลโดยตรงต่อค่านิยมในวัยรุ่น การสร้างแรงจูงใจด้วยสื่อที่เน้นความทันสมัยด้วยความฟุ่มเฟือย ค่านิยมที่แสดงความสำเร็จจากการมีเงินทองเครื่องประดับในตัวมากกว่าการ ตั้งใจทำงานและคุณค่าในตัวของคน จะทำให้ครอบครัวและเด็กวัยรุ่นต้องมีความยืนหยัดที่จะต้านทานกระแสเหล่านี้ แต่ครอบครัวยังคงเป็นภูมิคุ้มกันเด็กจากกระแสเหล่านี้ หากพ่อแม่เข้าใจและสามารถพูดคุยกับลูกวัยรุ่นได้ และได้ดูแลลูกในเรื่องการใช้เงิน   พฤติกรรมการบริโภควัตถุนิยม (สินค้าฟุ่มเฟือย) ได้ฝังรากลึกลงในวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทย เสมือนหนึ่งเป็นปัจจัยที่ห้า ถ้าใครไม่ใช้ก็ถือว่าตกยุค ไม่ทันสมัย ซึ่งรูปแบบรูปทรงของสินค้าที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้สร้างความพึงพอใจอย่างสูงสุด โดยสามารถแตะต้องสัมผัสได้ถึงความมีตัวตน มีสีสัน โฉบเฉี่ยวดูทันสมัย บ่งบอกถึงรสนิยมที่หรูหรา ชีวิตที่ภูมิฐาน และสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้เป็นเจ้าของได้อย่างลงตัว จนไม่อาจจะปฏิเสธว่าไม่มีความต้องการจะบริโภคสินค้านั้น ทั้งกลุ่มคนที่มีอำนาจซื้อ และไม่มี ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงเจริญเติบโตอยู่บนพื้นฐานความอ่อนแอทางจิตใจของคนไทยผู้บริโภค  เมื่อความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของคนไทย ซึ่งก็คืออุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) ได้รับการตอบสนองจากอุปทาน (ความต้องการขาย) ที่ต้องการกำไรสูงสุด ก็ก่อให้เกิดดุลยภาพของตลาดคนไทย ผู้ซื้อก็กลายเป็นทศกัณฑ์ทำงานกันตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินมาซื้อสินค้าตอบสนองความต้องการของตน   สำหรับชาวต่างชาติผู้ขายที่เป็นเจ้าของสินค้า ก็มีแต่รวยกับรวย ยิ่งซื้อมากเท่าไรก็ยิ่งรวยมากขึ้นเท่านั้น ในภาพรวมประเทศไทยก็มีแต่ยากจนลง ที่กล่าวเช่นนี้ มิได้ห้ามไม่ให้ซื้อ แต่ควรใช้วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจ เพื่อความพอเหมาะพอดีกับฐานะของตน ครอบครัว และประเทศ พึงตระหนักว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศมั่งคั่งร่ำรวยที่จะใช้จ่ายเงินได้ตามใจชอบ   เหตุผลสำคัญ คือ 1) ขาดแคลนเงินออมเพื่อการลงทุน 2) ภาระหนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลและเอกชน ต้องชำระคืน และ 3) ความต้องการใช้เงินตราต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ
ถ้าอย่างนั้นการใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคอย่างไรจึงจะส่งผลดีต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งใน
ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
          1.กลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อสูง (กลุ่มมั่งคั่งร่ำรวย) ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างดังนี้นาย ก.ประกอบธุรกิจส่งออกสินค้าชนิดหนึ่ง มีผลกำไร 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วนาย ก.ตัดสินใจสั่งนำเข้ารถยนต์คันละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย ก.มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะซื้อรถยนต์คันนี้ได้ เพราะไม่กระทบต่อฐานะของตน
แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ การใช้จ่ายเงินของนาย ก.กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวม และทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ นาย ก.ควรชะลอการใช้จ่ายเงินไว้ก่อน โดยการนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ธนาคารจะได้นำเงินฝากของนาย ก.ไปปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลและเอกชนเพื่อให้เงินเกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนมือภายในประเทศ
หากนาย ก.ไม่ออมเงินไว้ภายในประเทศ รัฐบาลและเอกชนต้องไปกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุน ซึ่งเมื่อถึงเวลาต้องจ่ายชำระคืนเงินกู้ รัฐบาลและเอกชนจะต้องจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย (เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ รวมทั้งเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐของนาย ก.)
ที่กล่าวมาในข้างต้นมีแค่คนเดียว แต่ถ้ามีผู้จับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเงินบาทแข็งค่า จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าต่างประเทศมากกว่าภาวะที่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ เงินตราต่างประเทศจึงถูกใช้จ่ายออกไปเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
ยกเว้นในกรณี นาย ก.จะใช้จ่ายเงินไปในการขยายกิจการ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าก็ควรทำในลักษณะที่พอตัว

         2.กลุ่มผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อปานกลางและต่ำ (กลุ่มชนชั้นกลางและรากหญ้า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ) เป็นกลุ่มที่มีปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินตัว จากการผ่อนส่งสินค้า การใช้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และการกู้หนี้ยืมสิน เพราะความไม่พร้อมทั้งกำลังซื้อและความไม่เหมาะสมกับฐานะของตน พฤติกรรมเช่นนี้ได้แพร่กระจายไปแทบจะทั่วทุกหัวระแรง ซึ่งถ้ามีคนซื้อเพียงไม่กี่คน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็คงจะไม่มีผลกระทบใดกับระบบเศรษฐกิจ แต่นี่เล่นแห่ขบวนพาเหรดกันไปซื้อ โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
          
ถ้าคนไทยรู้จักคิด รู้จักใช้เหตุผลให้อยู่เหนือกว่าความต้องการ ประเทศชาติก็จะมีความมั่งคั่งมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่ชาวต่างชาติผลิตสินค้าอะไรออกมาขายคนไทยซื้อหมด ถ้าเจ้าของสินค้าเป็นคนไทย ยิ่งซื้อมากเท่าไรยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเท่านั้น และผลกำไรจากการประกอบธุรกิจนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
          
           ท้ายนี้ขอฝากข้อคิดแก่กลุ่มคนผู้มั่งคั่งร่ำรวย ว่า ชาติบ้านเมืองต้องพึ่งพาท่านทั้งหลาย ขอเพียงท่านออมเงินไว้ภายในประเทศ เพื่อไม่ให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศ ก็ถือว่าได้กระทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว
สำหรับกลุ่มชนชั้นกลางและรากหญ้า ขอให้ยึดหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา (คิหิปฏิบัติ) ว่าตระกูลอันมั่งคั่ง จะตั้งอยู่นานไม่ได้ เพราะเหตุ 4 คือ
1.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
2.ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
3.ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
4.ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน ถ้าอยากให้ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย และตั้งอยู่ได้นาน ต้องปฏิบัติในทางตรงกันข้ามนี้ (กรอบบ่าย)

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่






โรคเมอร์ส (MERS)


                องค์ความรู้เรื่อง โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 (Middle East Respiratory Syndrome: MERS) หรือโรคเมอร์ส

1. ลักษณะโรค : โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ 2012 หรือกลุ่มอาการทางเดินหายใจตะวันออกกลาง Middle East Respiratory Syndrome: MERS หรือโรคเมอร์ส เป็นเชื้อสายพันธุ์หนึ่งในกลุ่มไวรัสโคโรนา (MERS Corona Virus :MERS CoV) ขณะนี้พบว่า การระบาดส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแถบตะวันออกกลาง และล่าสุดมีการระบาดที่เกาหลีใต้ซึ่งมีรายงานการติดเชื้อจากคนสู่คนในวงจํากัด ซึ่งพบในกลุ่มผู้ป่วยด้วยกันหลายกลุ่ม ได้แก่ ผู้ดูแลใกล้ชิด สมาชิกครอบครัวเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์แต่ยังไม่มีการแพร่กระจายของเชื้อในวงกว้าง 

          ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2557 พบจํานวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น โดยบางรายไม่มีรายงานการยืนยันทางห้องปฏิบัติการ และในบางรายมีประวัติสัมผัสกับสัตว์และดื่มน้ํานมดิบจากสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอูฐ อูฐจึงเป็นสัตว์รังโรคหลักที่อาจนําเชื้อมาสู่คนได้ขณะนี้ข้อมูลจากองค์การอนามัยโรค แจ้งว่าเป็นการติดเชื้อระหว่างสัตว์สู่คน สําหรับการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนสามารถแพร่ผ่านทางเสมหะของผู้ป่วยจากการไอ เป็นต้น และมักเกิดจากการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยมิได้มีการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ MERS CoV มักมีอาการไข้ไอ นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางราย จะมีอาการในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องร่วง ร่วมด้วย บางรายที่มีอาการรุนแรงจะมีหายใจหอบ และหายใจลําบาก ปอดบวม รายงานจํานวนผู้ป่วยที่เสียชีวิต ร้อยละ 36

2. สถานการณ์ : ทั่วโลก ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2558 องค์การอนามัยโลก รายงานพบผู้ป่วยยืนยัน จํานวน 1,190 ราย เสียชีวิต 444 ราย คิดเป็นร้อยละ 37.31 ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 66) อายุเฉลี่ย 49 ปีโดยพบรายงานผู้ป่วยทั้งหมดจาก 25 ประเทศ ดังต่อไปนี้

   - กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 10 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อียิปต์ อิหร่าน จอร์แดน คูเวต เลบานอน กาตาร์โอมาน และเยเมน
   - กลุ่มประเทศยุโรป 8 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย ฝรั่งเศส เยอรมัน กรีซ อิตาลีเนเธอร์แลนด์ตุรกี และอังกฤษ
   - กลุ่มประเทศแอฟริกา 2 ประเทศ ได้แก่อัลจีเรีย และตูนีเซีย
   - กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือ ได้แก่สหรัฐอเมริกา
   - กลุ่มประเทศเอเชีย 3 ประเทศ ได้แก่มาเลเซีย ฟิลิปปินส์เกาหลีใต้และจีนแผ่นดินใหญ่

          โดยผู้ป่วยส่วนมาก (ร้อยละ 85 ) เป็นผู้ป่วยที่มาจากประเทศซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้ในปี 2558 พบผู้ป่วยโรคเมอร์ส ใน 10 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อิหร่าน โอมาน กาตาร์จอร์แดน เยอรมัน จีน ฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ และรายงานการระบาดในประเทศเกาหลีใต้ ณ วันที่ 5 มิถุนายน ๒๕๕๘ องค์การอนามัยโลกได้รายงานอย่างเป็นทางการ พบผู้ป่วยที่ประเทศเกาหลีใต้จํานวน 36 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสเชื้อในประเทศเกาหลีใต้และเดินทางผ่านฮ่องกงไปยังประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ 1 ราย และมีผู้เสียชีวิต 3 ราย ซึ่งจากจํานวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด เป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในสถานพยาบาล และการติดเชื้อในบ้าน และองค์การอนามัยโลกรายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่าพบการติดเชื้อของผู้ป่วยในรุ่นที่ 3 แล้ว ประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยง
จากผู้เดินทางไปมาระหว่างประเทศที่มีการระบาด ประกอบกับประชาชนชาวไทยเดินทางไปแสวงบุญในประเทศแถบตะวันออกกลาง และมีนักท่องเที่ยวจากประเทศแถบตะวันออกกลางที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย

3. เชื้อก่อโรค : เชื้อไวรัสโคโรนา (MERS CoV)

4. อาการของโรค : ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ MERS CoV บางรายไม่มีอาการ ในรายที่มีอาการบางรายมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเล็กน้อย เช่น ไข้ไอ นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางราย จะมีอาการในระบบทางเดินอาหารได้แก่ ท้องร่วง ร่วมด้วย และบางรายอาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจรุนแรง และถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงอาจทําให้เกิดระบบทางเดินหายใจล้มเหลว จึงควรได้รับการดูแลในห้องดูแลผู้ป่วยภาวะวิกฤติ (intensive care unit) โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หายใจหอบ และหายใจลําบาก ปอดบวม ซึ่งในจํานวนผู้ป่วยทั้งหมด พบว่าจะมีรายงานจํานวนผู้ป่วยที่เสียชีวิต ร้อยละ 36 ส่วนในผู้ที่มีโรคประจําตัวซึ่งทําให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ ลดน้อยลง การแสดงของโรคอาจมีความแตกต่างออกไป

5. ระยะฟักตัวของโรค : มีระยะฟักตัว 2-14 วัน

6. วิธีการแพร่โรค : ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2014 พบจํานวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบางรายไม่มีรายงานการยืนยันทางห้องปฏิบัติการ และในบางรายมีประวัติสัมผัสกับสัตว์และดื่มน้ํานมดิบจากสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอูฐ อูฐจึงเป็นสัตว์รังโรคหลักที่อาจนําเชื้อมาสู่คนได้ ขณะนี้ข้อมูลจากองค์การอนามัยโรค แจ้งว่าเป็นการติดเชื้อระหว่างสัตว์สู่คน สําหรับการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนสามารถแพร่ผ่านทางเสมหะของผู้ป่วยจากการไอ เป็นต้น และมักเกิดจากการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยมิได้มีการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาล

7. การรักษา : เป็นการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง ยังไม่มีวัคซีน และยารักษาที่จําเพาะ

8. การป้องกัน :

สําหรับผู้เดินทาง/นักท่องเที่ยว
          จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน พบว่ากลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยรุนแรง ได้แก่กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง โรคไตวาย หรือผู้ที่ภูมิต้านทานต่ํา ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากท่านเดินทางเข้าในประเทศที่มีการระบาด และเข้าเยี่ยมชมฟาร์ม หรือสถานที่เก็บผลผลิตทางการเกษตร และหรือในพื้นที่ตลาดที่มีอูฐอยู่และควรปฏิบัติตน ดังนี้
   - หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่มีอาการไอ หรือจาม
   - ผู้มีโรคประจําตัวที่เสี่ยงต่อการป่วย อาจพิจารณาสวมหน้ากากป้องกันโรค และเปลี่ยนบ่อยๆ เมื่อเข้าไปในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันมากๆ
   - ควรล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยหรือสิ่งแวดล้อมที่ผู้ป่วยสัมผัส
   - หลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสกับฟาร์มสัตว์หรือสัตว์ป่าต่างๆ หรือดื่มนมสัตว์โดยเฉพาะอูฐ ซึ่งอาจเป็นแหล่งรังโรคของเชื้อได้
   - ถ้ามีอาการไข้ไอ มีน้ํามูกเจ็บคอ (มีอาการรุนแรงที่ส่งกระทบต่อกิจวัตรประจําวันปกติ) ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับบุคคลอื่นเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ เมื่อไอ หรือจามควรใช้กระดาษชําระปิดปาก และจมูกทุกครั้ง และทิ้งกระดาษชําระที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่ปิดมิดชิด และล้างมือให้สะอาด กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ควรไอหรือจามลงบนเสื้อผ้าบริเวณต้นแขน ไม่ควรจามรดมือและรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

สําหรับประชาชนทั่วไป
   - หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่มีอาการไอ หรือจาม
   - ควรล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยหรือสิ่งแวดล้อมที่ผู้ป่วยสัมผัส
   - เมื่อเข้าเยี่ยมชมฟาร์ม หรือพื้นที่โรงเก็บผลผลิตทางการเกษตร ควรรักษาสุขอนามัย ทั่วไป เช่น ล้างมือเป็นประจํา ก่อน และหลังการสัมผัสสัตว์หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย และรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย

สําหรับสถานพยาบาล
          เนื่องจาก พบรายงานการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล (Hospital Setting) สู่บุคคลในครอบครัวได้แก่ ญาติที่ไปเยี่ยม และให้การดูแลผู้ป่วย ผู้ที่มารับการรักษาให้หอผู้ป่วยเดียวกัน และผู้สัมผัสใกล้ชิด (Family cluster and closed contact cluster) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และการแยกผู้ป่วย(Isolation Precautions) องค์การอนามัยโลกแนะนําการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และแยกผู้ป่วย โดยใช้หลักการของ Standard precautions รวมถึง Hand hygiene, Respiratory hygiene and coughetiquette, Safe injection practices และข้อปฏิบัคลิกดูข้อมูลได้ที่นี่ติอื่นๆ โดยพบว่า โรคติดเชื้อ ทางเดินหายใจโดยทั่วไป ใช้ droplet precautions และ contact precautions สําหรับโรค MERS ส่วนใหญ่เป็น droplettransmission ถ้าไอ จาม ในระยะ 1 เมตร สามารถ แพร่กระจายเชื้อได้อย่างไรก็ตาม airbornetransmission มีความเป็นไปได้ขณะนี้พบว่าอัตราตายของโรคเมอร์ส ค่อนข้างสูง (ร้อยละ 30 - 50)

          ดังนั้น องค์การอนามัยโลก และศูนย์ป้องกัน และควบคุมโรคแห่งชาติประเทศ สหรัฐอเมริกา (US CDC) จึงแนะนําให้ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแบบ Airborne precautions โดยเฉพาะ ผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวม หรือไอมากรวมทั้งหัตถการที่ก่อให้เกิดฝอยละอองขนาดเล็ก เช่น การใส่ท่อช่วย หายใจ การดูดเสมหะ การเก็บเสมหะ
การพ่นยา เป็นต้น

          หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 สํานักโรคติดต่ออุบัติใหม่ หรือคลิกดูข้อมูลได้ที่นี่
 
ของแถมดีไหม ???

สุวัฒน์  จรรยาพูน

                ตำราหลาย ๆ เล่ม กล่าวว่า ลอจิสติกส์ ทำให้แน่ใจว่าองค์กรได้นำผลิตภัณฑ์ไปถึงมือลูกค้าได้อย่างดีครบ 7 ประการ คือ
1.               ถูกผลิตภัณฑ์          the RIGHT product
2.               ถูกจำนวน              in the RIGHT quantity,
3.               ถูกสภาพ                 in the RIGHT condition,
4.               จัดส่งถูกลูกค้า       is delivered to the RIGHT customer
5.               ถูกสถานที่              at the RIGHT place,
6.               ถูกเวลา                   at the RIGHT time,
7.               ถูกต้นทุน                               at the RIGHT cost.
ทุกข้อไม่มีใครสงสัย ยกเว้นข้อเดียวก็คือ ถูกจำนวน มีหลายท่านได้สอบถามผมมาว่าถ้าได้มากกว่าที่ต้องการ หรือการได้ของแถมเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ เพราะทำให้เราประหยัดต้นทุนได้มาก และใคร ๆ ก็ชอบของแถม ดังนั้นการที่     ลอจิสติกส์ กล่าวมาเช่นนี้ถูกต้องหรือเปล่า ดูจะเข้าใจยาก และน่าสงสัย
ผมตอบได้เลยว่าของแถมเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรเกินกว่าที่ต้องการ งงไหมครับ คือ ผมต้องการให้เราบริหารของแถมให้เป็น เช่น เราต้องการสินค้า 12 ชิ้น แต่ถ้าสินค้านั้น ซื้อ 10 แถม 2 ก็เป็นเรื่องที่ควรรับไว้ต้นทุนเราประหยัดขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเราต้องซื้อสินค้านั้น 15 ชิ้น แล้วจึงจะได้ของแถม 5 ชิ้น โดยที่เราต้องการเพียง 12 ชิ้น อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสินค้าที่เหลือเกินกว่าที่ต้องการนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง
ขอยกตัวอย่างในชีวิตประจำวันก็แล้วกัน สมมติว่า ที่บ้านของผมผมสบู่หมด ต้องการสบู่มาใช้ 1 ก้อน จึงเดินเข้าไปหาในซุปเปอร์มาร์เก็ต หยิบสบู่มา 1 ก้อน ราคา 20 บาท แต่สายตาก็เหลือบไปมองเห็นสบู่ชนิดเดียวกันแต่ขายเป็นแพ็ค 4 ก้อน แถม 1 ก้อน ราคา 80 บาท เฉลี่ยในใจได้ก้อนละ 16 บาท ประหยัดไปก้อนละ 4 บาท ก็เลยเปลี่ยนใจไปซื้อเป็นแพ็คที่มีของแถม เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผลก็คือ ผมได้แกะสบู่ออกมาใช้ 1 ก้อน ส่วนอีก 4 ก้อนที่เหลือผมก็ต้องหาที่เก็บ
ปัญหาตามมาแล้วก็คือ จะเก็บที่ไหนดี ??? ตู้ที่เคยใส่ก็ใกล้เต็มแล้ว ต้องเสียเวลารื้อตู้แล้วจัดเข้าที่ใหม่ ถ้าไม่อยากเสียเวลา ก็ต้องหาซื้อตู้ใบใหม่มาใช้ ต้นทุนก็สูงเข้าไปอีก หรือไม่ก็กอง ๆ ไว้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการภายหลัง ปัญหาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ถ้ากองไว้แล้วรู้สึกเกะกะ เราก็ต้องย้ายที่ เก็บ อาจถูกของใช้อย่างอื่นทับให้เสียหาย อาจถูกเท้าเตะกระเด็นไปใต้ตู้ และปัญหาอื่น ๆ อีกมาก
เมื่อสบู่หมดอีกครั้ง เราอาจหาสบู่อีก 4 ก้อน ไม่เจอ หรือไม่ก็ลืมว่าเก็บไว้ที่ไหน คิดว่าของหมด หรือไม่ก็อยู่ในสภาพที่ใช้ไม่ได้ ต้องไปซื้อใหม่ ผลลัพธ์ก็คือ แทนที่เราจะประหยัดไป 4 บาทต่อก้อน กลายเป็นเราใช้สบู่แค่ก้อนเดียวราคา 80 บาท แพงไป 60 บาท เพราะอีก 4 ก้อนที่เหลือเราดันหาไม่เจอหรือใช้ไม่ได้ อย่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการประหยัดต้นทุนได้หรือ
ที่สำคัญเรายังไม่ได้คิดค่าแรง ในการจัดตู้ใหม่เพื่อเก็บสบู่ 4 ก้อนที่ได้มาจนหายไป หรือค่าขนย้ายที่ย้ายที่เก็บไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาต้องการจะใช้แล้วจำไม่ได้ว่าเก็บที่ไหน เรื่องแบบนี้มีให้พบเห็นได้ในสถานประกอบการทั่วไป โดยเฉพาะในคลังสินค้าที่มีของเกินของขาดเป็นประจำ มีการจัดวางสินค้าใหม่เมื่อมีสินค้าเข้า มีการเคลื่อนย้ายที่เก็บของสินค้าบ่อย ๆ หาของไม่เจอ นึกว่าของหมดจึงสั่งของเข้ามาใหม่แล้วถึงพบว่าสินค้านั้นยังอยู่ในคลังอีกมาก ใช้จนถึงสิ้นปีก็ไม่หมด
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการได้สินค้าเกินจำนวนที่ต้องการนั้นไม่ส่งผลดีต่อกิจการเลย กลับก่อปัญหาตามมาอย่างมาก จึงควรทำการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงของแถมที่ได้รับ เพราะมูลค่าที่ประหยัดได้ อาจไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ที่กิจการมักจะมองข้ามไป ที่สำคัญบางครั้งอาจเกิดการบริหารงานที่ผิดพลาดก็คือ ให้รางวัลกับฝ่ายจัดซื้อที่ได้ของแถมหรือราคาถูกแต่ต้องซื้อจำนวนมาก แต่กลับทำโทษฝ่ายคลังสินค้าที่มีต้นทุนสูง ทั้ง ๆ ที่สาเหตุของปัญหานี้มาจากฝ่ายจัดซื้อ ของแถมจึงเปรียบเสมือนกับน้ำตาลเคลือบยาพิษเลยทีเดียว
สนใจข้อมูลทางธุรกิจเพิ่มเติม ค้นหาข้อมูลได้ที่นี หรือ
โทร. 02-5330316, 081-8304741, 085-8799468
โทรสาร. 02-5330316



โลกร้อน กับ ลอจิสติกส์

สุวัฒน์  จรรยาพูน

                โลกร้อน ตอนนี้ถ้าหากผมไม่ได้กล่าวถึงก็ต้องเป็นคนตกกระแสและล้าสมัยอย่างไม่น่าให้อภัย เนื่องจากภาวะโลกร้อนนั้นจะส่งผลกระทบทำให้สภาพอากาศแปรปรวน ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่วม อากาศหนาวและร้อนผิดปกติ ภาวะโลกร้อนจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบโดยตรง และที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ทุกคน ซึ่งเราคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ ดังนั้นผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคน ต้องหันหน้าเข้าหากันและจับมือร่วมกันแก้ไขปัญหานี้
หากใครติดตามข่าว หรือได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง an inconvenient truth ที่มีรองประธานาธิบดี Al Gore เป็นผู้บรรยาย ก็จะทราบดีว่าสาเหตุหลักของปัญหาโลกร้อน ก็คือ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมนุษย์เราทุกคนเป็นผู้ทำให้ภาวะสมดุลของระบบในโลกเปลี่ยนไป หลายๆปัจจัยในการดำรงชีวิตของมนุษย์ให้สุขสบายส่งผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น เรามีการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ละเลยการคิดอย่างเป็นระบบด้วยความรอบคอบ ทำให้เกิดการสะสมเพิ่มขึ้นของปัญหาโลกร้อนโดยไม่รู้ตัว
แล้วเราจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหานี้อย่างไร คำตอบมีไม่อยากหรอกครับ แค่เราทุกคนรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำงานตามหน้าที่ก็ช่วยลดปัญหานี้ได้มากแล้ว ลองดูว่าหน่วยงานของท่านมีเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ กล่าวคือ มีพนักงานที่ขยันมากๆ มาทำงานแต่เช้า และก็มีพนักงานที่ขยันไม่แพ้กันอยู่ทำงานจนดึกดื่น ผู้บริหารต่างก็ชื่นชมพนักงานทั้งสองประเภทนี้ แต่เชื่อไหมครับว่านี่แหละทำให้โลกร้อน เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าทำไมต้องทำงานนอกช่วงเวลาปกติ ระหว่างช่วงเวลาทำงานทำเต็มประสิทธิภาพแล้วหรือ เราต้องไม่ลืมว่า มีคนทำงานเพียงคนเดียวหรือมีคนทำงานทั้งแผนก ก็เปิดไฟ เปิดแอร์ และใช้พลังงานไม่ต่างกัน
ดังนั้นการที่จะมีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันก็คือ ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร และคนทุกคน ต้องเปลี่ยนแนวคิดให้มีการคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ ลอจิสติกส์ เพราะเป็นแนวทางที่สอนให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการลดต้นทุน ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ลองมาพิจารณางานของลอจิสติกส์ว่าช่วยลดปัญหาของโลกร้อนได้อย่างไร เช่น งานด้านการขนส่งมีแนวคิดด้านการจัดการรถเที่ยวเปล่า ต้องการให้เกิดการใช้รถทั้งขาไปขากลับ ส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง ลดการใช้พลังงาน ซึ่งจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการวางแผนการขนส่งและการประสานงานกับคู่ค้า
นอกจากนี้งานด้านคลังสินค้าก็ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ กล่าวคือ การกำหนดระดับของสินค้าคงคลังที่เหมาะสมช่วยให้ง่ายต่อการนับสินค้า การดูแลรักษาสินค้า ส่งผลให้ปริมาณของเสียลดลง หรือเทคนิคการนับสินค้าโดยการจัดรอบการนับ (cycle count) ช่วยให้เกิดการแบ่งงานทำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวันไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าล่วงเวลาให้กับพนักงาน
การมีสินค้าเมื่อลูกค้าต้องการ นอกจากเป็นการเอาใจลูกค้าแล้ว ยังสามารถช่วยลูกค้าประหยัดต้นทุนการเดินทางและการประสานงานเพื่อหาสินค้า ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเก็บสต็อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก เกิดคุณประโยชน์มากมายจากการมีสต็อกน้อยแต่เพียงพอต่อการขาย



ดังนั้น ผมคิดว่าทุกหน่วยงานควรหันมาให้ความสนใจกับการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน เพราะนอกจากจะช่วยให้องค์กรเกิดการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ การเพิ่มความสามารถในการให้บริการแก่ลูกค้า เกิดการลดต้นทุนภายในองค์กรแล้ว ยังเป็นเทคนิคที่ช่วยลดการเพิ่มขึ้นของภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของโลกด้วย [

สนใจข้อมูลทางธุรกิจเพิ่มเติม  ค้นหาข้อมูลได้ที่ หรือ
โทร. 02-5330316, 081-8304741, 085-8799468
โทรสาร. 02-5330316